คือ กล้องสำหรับบันทึกภาพถ่ายเป็นระบบดิจิตอล พัฒนามาจากกล้องถ่ายรูป ที่เป็นแบบฟิล์ม ทำให้ไม่ต้องล้างฟิล์ม อัดรูปกันให้เสียเวลา เพียงแค่ใช้กล้องดิจิตอลบันทึกภาพ และกลไกการทำงานจะบันทึกภาพลงไปในเมมโมรี่การ์ด หลังจากนั้น ก็เอาเมมโมรี่การ์ด ใส่เข้าไปในการ์ดรีดเดอร์ เพื่อดึงรูปภาพออกมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ต่อไป ซึ่งการใช้กล้องดิจิตอลนี้ราคาถูกกว่ามาก ในเรื่องการเก็บภาพถ่าย ที่สำคัญ ได้รูปภาพที่เยอะกว่า รูปไหนเราไม่ต้องการใช้ ก็สามารถลบได้เลย
กล้องดิจิตอลมีกี่ชนิด และมีอะไรบ้าง?
หากจะถามว่าทุกวันนี้เราสามารถแบ่งประเภทของกล้องดิจิตอลได้กี่ประเภทแล้ว? คำตอบก็คือ เราสามารถแยกได้ทั้งหมด 3 ประเภท ตามที่ใช้กันมากในปัจจุบัน คือ 1.กล้อง Compact 2.กล้องMirrorless และ 3. กล้อง DSLR ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรูปแบบการใช้งานและคุณสมบัติแตกต่างกันมากครับ โดยเฉพาะการเลือกกล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วไปนั้น ตัวเลือกระหว่างกล้อง Compact และกล้อง Mirrorless ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เราจะมาให้คำตอบกันนะครับ
กล้อง Compact จิ๋วแต่แจ๋วพลังสูง
กล้องคอมแพคจิ๋วแต่แจ๋วพลังสูงชนิดนี้เรามักจะพบเห็นคนนิยมใช้กันมากครับ เนื่องด้วยความสะดวกในการใช้งานแบบ “เล็งและถ่าย” ทั้งยังมีจุดเด่นด้านความเล็กสะดวกพก สำหรับคนที่ไม่ต้องการคุณภาพของภาพชนิดว่าต้องไปขยายใหญ่ขึ้นป้ายบนทางด่วน หรือไม่ต้องวุ่นวายตั้งค่าอะไรมากมายกว่าจะได้รูปสวยๆ ไว้อัพขึ้นโซเชียลเน็ตเวิร์ค จึงเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กล้องดิจิตอลแบบคอมแพคกันมาก
โดยกล้องประเภท Compact นั้น ในปัจจุบันผู้ผลิตกล้องก็มีการแข่งขันกันเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับการใช้งานให้ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น มีลูกเล่นหลากหลายขึ้น ทั้งการถ่ายภาพแบบพาโนรามาที่เหมาะกับการเก็บภาพวิวทิวทัศน์ที่ประทับใจ เรียกว่าตอบโจทย์ของความง่ายได้อย่างครบถ้วน
โดยกล้องประเภท Compact นั้น ในปัจจุบันผู้ผลิตกล้องก็มีการแข่งขันกันเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับการใช้งานให้ง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากขึ้น มีลูกเล่นหลากหลายขึ้น ทั้งการถ่ายภาพแบบพาโนรามาที่เหมาะกับการเก็บภาพวิวทิวทัศน์ที่ประทับใจ เรียกว่าตอบโจทย์ของความง่ายได้อย่างครบถ้วน
กล้อง Mirror less รวมจุดเด่นของกล้องทุกชนิด
กล้อง Mirrorless รวมจุดเด่นของกล้องทุกชนิดกล้องอีกประเภทที่พึ่งจะได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็คือกล้อง Mirrorless ที่คล้ายกับกล้อง Compact ในด้านความเล็ก แต่กลับมีความสามารถในการเปลี่ยนเลนส์ได้ (ที่มักจะมีในกล้องขนาดใหญ่) แถมคุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความคมชัดของภาพ หรือความอิ่มตัวของสี ก็จัดว่าให้คุณภาพที่สูงมากเลยทีเดียว
แน่นอนที่ว่า จุดเด่นของกล้อง Mirror less นั้น ก็คือรูปร่างของตัวกล้องที่พกพาสะดวก แม้ว่าจะติดตั้งเลนส์ไปแล้วก็ยังเล็กถือว่าเล็กกว่ากล้องสำหรับมืออาชีพอย่าง DSLR อยู่ดี สาเหตุที่สามารถลดหุ่นของตัวกล้องได้ขนาดนี้ ก็เนื่องมาจากการตัดชิ้นส่วนที่เป็นกระจกสะท้อนภาพที่มีในกล้อง DSLR ออกไป จากนั้นก็แทนที่ด้วยการแสดงผลภาพผ่านจอ LCD ที่ตัวกล้องเองเลย
อีกจุดเด่นก็คือเรื่องคุณภาพของงานของกล้องประเภทนี้สูงกว่ากล้อง Compact ก็เพราะว่าตัวกล้องมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ แถมยังสามารถเลือกใช้เลนส์ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ความยาวโฟกัสมากไปถึงน้อย ซึ่งตอบโจทย์การถ่ายภาพได้ดีกว่าเลนส์เล็กๆ ที่ติดมากับกล้อง Compact นอกจากนั้นเลนส์บางรุ่นที่คุณภาพสูง มักจะมีระบบกันสั่นมาให้ด้วยทำให้ภาพที่ได้ออกมาคมชัดสดใสไม่เบลอให้เสียอารมณ์
แต่อย่างไรก็ดี การที่ภาพจะออกมาได้อย่างสวยงามแค่ไหนนั้น 50% แม้จะอยู่ที่อุปกรณ์ดี แต่อีก 50% นั้นก็จะอยู่ที่มุมมองของผู้ถ่ายด้วยเช่นกันครับ เพราะอย่าลืมว่ากล้องเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ไว้ถ่ายทอดเท่านั้น ของสำคัญมันอยู่ที่ช่วงจังหวะเวลา ความอดทน และความสามารถด้านศิลปะของคนถ่ายประกอบกันไปครับ
แน่นอนที่ว่า จุดเด่นของกล้อง Mirror less นั้น ก็คือรูปร่างของตัวกล้องที่พกพาสะดวก แม้ว่าจะติดตั้งเลนส์ไปแล้วก็ยังเล็กถือว่าเล็กกว่ากล้องสำหรับมืออาชีพอย่าง DSLR อยู่ดี สาเหตุที่สามารถลดหุ่นของตัวกล้องได้ขนาดนี้ ก็เนื่องมาจากการตัดชิ้นส่วนที่เป็นกระจกสะท้อนภาพที่มีในกล้อง DSLR ออกไป จากนั้นก็แทนที่ด้วยการแสดงผลภาพผ่านจอ LCD ที่ตัวกล้องเองเลย
อีกจุดเด่นก็คือเรื่องคุณภาพของงานของกล้องประเภทนี้สูงกว่ากล้อง Compact ก็เพราะว่าตัวกล้องมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ แถมยังสามารถเลือกใช้เลนส์ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ความยาวโฟกัสมากไปถึงน้อย ซึ่งตอบโจทย์การถ่ายภาพได้ดีกว่าเลนส์เล็กๆ ที่ติดมากับกล้อง Compact นอกจากนั้นเลนส์บางรุ่นที่คุณภาพสูง มักจะมีระบบกันสั่นมาให้ด้วยทำให้ภาพที่ได้ออกมาคมชัดสดใสไม่เบลอให้เสียอารมณ์
แต่อย่างไรก็ดี การที่ภาพจะออกมาได้อย่างสวยงามแค่ไหนนั้น 50% แม้จะอยู่ที่อุปกรณ์ดี แต่อีก 50% นั้นก็จะอยู่ที่มุมมองของผู้ถ่ายด้วยเช่นกันครับ เพราะอย่าลืมว่ากล้องเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ไว้ถ่ายทอดเท่านั้น ของสำคัญมันอยู่ที่ช่วงจังหวะเวลา ความอดทน และความสามารถด้านศิลปะของคนถ่ายประกอบกันไปครับ
กล้องถ่ายรูป นับเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมาจาก "กล้อง ออบสคูร่า" (Obscura) ที่มีลักษณะเป็นกล้องมืด (Dark room) และได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ ซึ่งกล้องปัจจุบันนี้สามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้
♫ 1. กล้องบ๊อกซ์ (Box Camera)
เป็นกล้องที่ไม่มีกลไกสลับซับซ้อน มีขนาดรูรับแสงคงที่ อาจเป็น 8 หรือ 11 อันใดอันหนึ่ง และมีความเร็วชัตเตอร์เดียวปกติประมาณ 1/60 กล้องชนิดนี้ให้ระยะชัดตั้งแต่ 6 ฟุตขึ้นไปจนถึงไกลที่สุด ขนาดของฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้อาจเป็นฟิล์มขนาด 120, 127 และ 620 บางชนิดอาจใช้ฟิล์มขนาด 126 ก็ได้ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ถ่ายรูปได้ดีในสภาพที่มีแสงเพียงพอ

♫ 2. กล้องพับ (Folding Camera)
เป็นกล้องที่มีห้องมืดชนิดพับระหว่างตัวกล้องกับเลนส์ สามารถพับ เห็บ หรือยืดออกมาได้ นอกจากนั้นกล้องชนิดนี้ยังเพิ่มขนาดของรูรับแสง และสามารถปรับเปลี่ยนความเร็วของชัตเตอร์ได้หลายระดับมากยิ่งขึ้น และอาจใช้กับไฟแวบอีกด้วย ฟิล์มที่ใช้อาจมีขนาดต่างๆ เช่น 120, 127 และ 620 เป็นต้น

♫ 3. กล้องรีเฟล็กซ์ (Reflex Camera)
กล้องชนิดนี้แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
3.1 แบบเลนส์คู่ (Twin Lens Reflex) บางครั้งอาจเรียกว่ากล้อง TLRซึ่งเคยได้รับความนิยมมากในสมัยก่อน กล้องชนิดนี้มีเลนส์ 2 ตัว เลนส์ตัวบนทำหน้าที่สะท้อนภาพเข้าสู่ช่องมองภาพซึ่งมีกระจกเป็นตัวสะท้อน ทำให้ผู้ถ่ายรูมองเห็นวัตถุที่จะถ่ายได้ ส่วนเลนส์ตัวล่างทำหน้าที่รับแสง เพื่อส่องผ่านไปยังฟิล์ม กล้องรีเฟล็กซ์เลนส์คู่นี้ได้รวมเอาข้อดีของกล้องใหญ่ (View Camera) และกล้องเรนจ์ไฟเดอร์ (Range finder) เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะสามารถมองภาพจากข้างบนกล้องได้ โดยลดกล้องให้ต่ำลง แล้วมองภาพจากช่องมองได้สะดวกสบาย อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสีย เนื่องจากใช้เลนส์ 2 ตัว ตั้งอยู่ในแนวดิ่งซึ่งกันและกัน ดังนั้นภาพที่มองเห็นจากเลนส์ตัวบน อาจจะไม่เหมือนกันกับภาพที่ถ่าย ซึ่งเรียกว่าเกิดอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนของภาพ (Parallax) ยิ่งเป็นการถ่ายรูปใกล้ๆ บางส่วนของภาพจะถูกตัดออกไป แม้ว่าเวลามองที่ช่องมองภาพนั้นเป็นภาพสมบูรณ์ก็ตาม อีกประการหนึ่งภาพที่เห็นที่ช่องมองภาพจะกลับซ้ายเป็นขวาเสมอ นอกจากนี้ กล้องชนิดนี้ส่วนมากจะเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ จึงเป็นข้อเสียเปรียบเช่นกัน ฟิล์มที่ใช้อาจมีขนาด 120, 220 หรือ 35 มม. ก็ได้

3.2 แบบเลนส์เดี่ยว (Single Len Reflex) หรือเรียกว่า SLR ซึ่งเป็นที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสะดวกและง่ายต่อการประกอบภาพ นอกจากนั้น ยังมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ร่วมกันได้มากมาย กล้องชนิดนี้สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ และไม่มีอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนภาพ (Parallax) เลย เพราะใช้เลนส์ตัวเดียวทำหน้าที่ทั้งมองภาพ หาระยะชัด และบันทึกภาพ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสียเปรียบ คือ อาจจะชำรุดได้ง่ายเพราะการกระดกขึ้นลง ของกระจก 45 องศา อีกประการหนึ่ง เมื่อกดชัตเตอร์จะมีเสียงดังมาก อาจทำให้เกิดการรบกวนได้ โดยเฉพาะถ้านำไปถ่ายรูปสัตว์ อาจทำให้สัตรว์ตื่นตระหนกตกใจได้ นอกจากนั้นเมื่อถ่ายรูปในที่ๆ มีแสงน้อย อาจทำให้การมองภาพที่ช่องมองไม่ชัดเจน เพราะมีการสะท้อนหลายครั้งที่กระจกและปริซึมภายในตัวกล้อง ทำให้ความเข้มของแสงลดลงไปได้ กล้องรีเฟลกซ์เลนส์เดี่ยวส่วนมากใช้ระบบชัตเตอร์ม่านจึงทำให้ใช้ความเร็วของชัตเตอร์ได้สูงมาก การเปลี่ยนขนาดของรูรับแสงก็มีมาก ฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้มีเบอร์ 135, 126, 120, 220 และ 110 ซึ่งสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มาก
♫ 4. กล้องเล็ก (Miniature Camera)
กล้องเล็ก (Miniature Camera) หรือ กล้องวิวไฟเดอร์ (View finder)บางคนก็เรียกว่า เรนจ์ไฟเดอร์ (Range Finder) หรือเรียกว่า กล้อง 35 มม. มาตรฐาน (35 mm. Standard Camera) เพราะใช้กับฟิล์มขนาดมาตรฐาน คือ 35 มม. กล้องชนิดนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักถ่ายภาพสมัครเล่น เพราะออกแบบเพื่อให้สะดวกสบายในการจับถือ มีทั้งชนิดที่ต้องปรับแต่ง และไม่ปรับแต่งความชัด ความเร็วชัดเตอร์และขนาดของรูรับแสง กล้องชนิดนี้มีลักษณะกระทัดรัด ใช้ง่าย ราคาไม่แพงนัก อย่างไรก็ตามก็มีข้อเสียคือภาพถ่ายอาจเกิดอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนของภาพ (Parallax) ได้ถ้าถ่ายรูปใกล้กว่า 3 ฟุต เนื่องจากหน้าต่างหาระยะชัดของภาพตั้งอยู่คนละแห่งกับเลนส์ คือจะอยู่เหนือเลนส์ถ่ายรูปเล็กน้อย ในปัจจุบันกล้องชนิดนี้ได้พัฒนาให้เปลี่ยนเลนส์ได้ และมีอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบมากมายจึงทำให้มีผู้นิยมกล้องชนิดนี้อยู่พอสมควร
♫ 5. กล้องเล็กพิเศษ (Ultra-Miniature Camera)
กล้องเล็กพิเศษ (Ultra-Miniature Camera) หรือกล้องนักสืบ เป็นกล้องที่มีน้ำหนักเบามาก กะทัดรัด มีขนาดเล็ก สามารถพกติดตัวไปได้สะดวกสบาย และสามารถแอบซ่อนเพื่อบันทึกภาพในกรณีที่ไม่ให้ผู้ถูกถ่ายรูปสังเกตได้ กล้องชนิดนี้ปรับหน้ากล้องโดยอัตโนมัติ มีไฟแวบพร้อมในตัวกล้อง ใช้ฟิล์ม 16 มม. และกลักเบอร์ 110
♫ 6. กล้องหนังสือพิมพ์ (Press Camera)
เป็นกล้องที่ออกแบบใช้กับงานด้านหนังสือพิมพ์ ตัวกล้องมีขนาดใหญ่ ส่วนประกอบของกล้องคล้ายคลึงกับกล้องพับ คือมีเบลโล (Bellow) สามารถปรับยืดย่นย่อได้ตามต้องการ ปกติกล้องชนิดนี้ใช้กับฟิล์ม 120 หรือฟิล์มแผ่นขนาด 2 1/4 x 3 1/4 นิ้ว และ 4 x 5 เนื่องจากกล้องมีน้ำหนักมาก ดังนั้น นักข่าวหนังสือพิมพ์และนิตยสารในปัจจุบันจึงหันมาใช้กล้องแบบสะท้อนเลนส์เดี่ยวแทน
♫ 7. กล้องใหญ่ (Studio Camera)
บางครั้งเรียกว่ากล้องวิว (View Camera) เป็นกล้องที่นิยมใช้ตามร้านถ่ายรูปเพื่อธุรกิจการค้า กล้องชนิดนี้มีขนาดใหญ่โตมีน้ำหนักมากจึงไม่เหมาะที่จะนำไปใช้งานภายนอกห้องถ่ายรูป และในการใช้กล้องจำเป็นต้องมีขาตั้ง (Tripod) รองรับตัวกล้อง ฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้เป็นฟิล์มแผ่นมีขนาดต่างๆ เช่น 2 x 3นิ้ว 5 x 7 นิ้ว 8 x 10 นิ้ว และ 11 x 14 นิ้ว เมื่อถ่ายรูปเสร็จสามารถถอดฟิล์มออกได้ทันที ข้อดีของกล้องชนิดนี้ คือ จะไม่เกิดอาการผิดเพี้ยนจากการตัดส่วนของภาพ (Parallax) และยังสามารถมองเห็นภาพที่ช่องมองได้อย่างดี เพราะที่มองมีขนาดใหญ่ ทำให้เห็นรายละเอียดของภาพที่จะบันทึกนั้นได้ดี เนื่องจากมีกระจกขยายอันเป็นส่วนประกอบในช่องมองภาพ นอกจากนั้นยังสามารถปรับมุมของภาพได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตามกล้องชนิดนี้ก็มีข้อเสียเปรียบ คือ ภาพที่เกิดขึ้นที่ช่องมองภาพนั้นจะมีลักษณะหัวกลับและกลับซ้ายขวา อีกทั้งภาพจะไม่ชัดเจน ดังนั้นผู้ถ่ายรูปต้องใช้ผ้าสีดำคลุมข้างหลังกล้องบนช่องมองภาพ และคลุมศีรษะผู้ใช้ให้สามารถมองภาพได้ชัดเจนในขณะปรับความคมชัด
♫ 8. กล้องถ่ายรูปที่สร้างขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
8.1 กล้องถ่ายรูปแบบสเตอริโอ (Stereo Camera) หรือเรียกว่ากล้องถ่ายรูปสามมิติ (Three Dimension Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายรูปสามมิติ ในตัวกล้องจะมีเลนส์ 2 ตัว เมื่อถ่ายรูปจะได้ 2 ภาพ ซึ่งภาพแรกเป็นภาพที่ตาข้างขวามองเห็น และภาพที่ 2 เป็นภาพที่ตาข้างซ้ายมองเห็น ดังนั้นภาพทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ในเวลาที่ดูภาพลักษณะนี้ ต้องใช้เครื่องดูภาพพิเศษ จึงจะทำให้เห็นภาพ 3 มิติได้อย่างชัดเจน
8.2 กล้องถ่ายรูปโพลารอยด์ (Polaroid Camera) เป็นกล้องถ่ายรูปที่เมื่อถ่ายเสร็จจะได้ภาพทันที เพราะมีกระบวนการล้างอัดอยู่ในตัวฟิล์ม สร้างภาพภายในเวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น ภาพที่จะเป็นภาพโฟสิติฟ (Positive) กล้องชนิดนี้เหมาะในการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วรีบด่วน และเพื่องานบางอย่างเท่านั้น ข้อเสียก็คือฟิล์มที่ใช้กับกล้องชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูง และภาพที่ได้ไม่มีความคงทนเก็บไว้ได้ไม่นานเหมือนขบวนการถ่ายรูปทั่วๆ ไป
8.3 กล้องถ่ายรูปทางอากาศ (Aerial Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบมาใช้งานเฉพาะการถ่ายรูปทางอากาศเท่านั้น มีน้ำหนักมาก ใช้ติดตั้งกับเครื่องบิน หรือยานอวกาศเพื่อการถ่ายรูปสำรวจหรือทำแผนที่ต่างๆ ส่วนประกอบของกล้องชนิดนี้ถูกออกแบบพิเศษมาเพื่อใช้งานเฉพาะ จึงไม่สามารถที่จะนำมาใช้ในงานทั่วๆ ไปได้
8.4 กล้องถ่ายรูปใต้น้ำ (Under Water Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อใช้ถ่ายรูปใต้น้ำโดยเฉพาะ ตัวกล้องบรรจุอยู่ในกล่องที่แข็งแรงกันน้ำเข้า และทนต่อแรงดันของน้ำ การควบคุมเพื่อให้กล้องทำงานนั้นมีปุ่มควบคุมอยู่ภายนอกกล่องบรรจุ
8.5 กล้องถ่ายรูปจากกล้องจุลทรรศน์ (Photomicrographic Camera)เป็นกล้องที่ออกแบบพิเศษ สำหรับงานที่ต้องการถ่ายรูปขยายตั้งแต่ 30:1 ถึง 1000:1 ตัวกล้องจะต่อเข้ากับกล้องจุลทรรศน์ สามารถถ่ายรูปได้ตามต้องการ
8.6 กล้องรีโปร (Repro-Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบเพื่อใช้กับงานการพิมพ์เพื่อถ่ายรูปลายเส้น ภาพแยกสีและพวกฮาลัฟโทนต่างๆ ซึ่งวัสดุต้นแบบอาจเป็นพวกภาพถ่ายหรือภาพวาดก็ได้หากแต่ต้องมีลักษณะเป็นแผ่นเรียบ
8.7 กล้องถ่ายรูปความไวสูง (High Speed Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับงานถ่ายรูปนิ่ง ที่ต้องการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนที่อย่างเร็วมาก ซึ่งกล้องธรรมดาไม่สามารถถ่ายได้ กล้องชนิดนี้มีความไวของชัตเตอร์สูงมาก อาจใช้ถ่ายรูปลูกปืนหรือลูกธนูที่กำลังเข้าหาเป้าได้
8.8 กล้องถ่ายรูปสำหรับผลิตภาพขนาดเล็ก (Microphotographic Camera) เป็นกล้องถ่ายรูปที่ออกแบบมาเพื่อใช้ถ่ายรูปขนาดไม่เล็กกว่า 1/10 ของวัตถุต้นฉบับ ดังนั้นจึงเหมาะที่จะนำมาถ่ายรูปวาดวงจรอิเล็กโทรนิคและวงจรไฟฟ้าต่าง ๆ
8.9 กล้องพาโนรามา (Panoramic Camera) เป็นกล้องที่ออกแบบเพื่อถ่ายรูปที่มีมุมของวิวกว้างประมาณเกือบ 140 องศา โดยที่สัดส่วนของภาพที่ได้ไม่ผิดเพี้ยนเหมือนการใช้เลนส์ตาปลา กล้องชนิดนี้นำมาใช้ถ่ายรูปหมู่ที่มีจำนวนคนมากๆ นั่งเรียงแถวกัน ซึ่งกล้องธรรมดาไม่สามารถบันทึกภาพให้มีสัดส่วนเหมือนจริงได้ การทำงานของกล้องชนิดนี้มีเลนส์ที่หมุนรอบแนวดิ่ง โดยแสงจะผ่านเลนส์ แล้วหักเหผ่านช่องแคบที่หมุนตามเลนส์ไปตกลงบนฟิล์มที่มีลักษณะโค้งอยู่ด้านหลังของกล้อง ทำให้การบันทึกภาพออกมาดูเป็นภาพที่มีลักษณะยาวในแนวระดับ
8.10 กล้องถ่ายรูปแบบจาน (Disk) เป็นกล้องถ่ายรูปที่บันทึกภาพลงบนแผ่นแม่เหล็กแทนการบันทึกลงบนฟิล์มถ่ายรูป เมื่อต้องการดูภาพก็สอดแผ่นแม่เหล็กลงในเครื่อง จะทำให้เห็นภาพบนจอโทรทัศน์ ซึ่งเป็นภาพนิ่งและสามารถพิมพ์เป็นแผ่นได้ นอกจากนี้กล้องชนิดนี้ยังนำไปใช้กับการส่งภาพถ่ายเหตุการณ์ จากจุดหนึ่งเข้ายังโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์ภาพข่าวลงในหนังสือพิมพ์ โดยส่งภาพไปตามสายโทรศัพท์ได้ ในปัจจุบันนี้ผู้ผลิตได้คิดค้นและออกแบบให้กล้องถ่ายรูปมีลักษณะการใช้ง่าย สะดวกสบาย และใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้อาจไม่ต้องมีความรู้ในด้านการถ่ายภาพมากมาย ก็สามารถใช้กล้องได้อย่างดีบันทึกภาพได้ตามต้องการและภาพมีคุณภาพ
ดังนั้นกล้องจึงทำงานแบบอัตโนมัติในการปรับหน้ากล้องปรับระดับชัตเตอร์ตามสภาพของแสงที่ถ่าย เช่น กล้องโกดัก อินสตาเมติด (Kodak Instamatic) กล้องอักฟา แรบปิด (Agfa Rapid) Argus, Minox BL, Yashica Atoron และอีกหลายๆ ยี่ห้อให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ถ่ายรูปตามความต้องการ กล้องอัตโนมัติบางชนิดสามารถบอกวัน เดือน ปี หรือแม้กระทั่งเวลาในการบันทึกภาพนั้นๆ ด้วย กล้องชนิดนี้เหมาะมากสำหรับการนำมาใช้ เพื่อเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นอกจากจะบอกรายละเอียดต่างๆ ดังกล่าวแล้วยังใช้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ถ้าแสงไม่พอที่จะพอที่จะถ่ายรูปก็สามารถเปิดไฟแฟลชได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย
ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีประเภทชิป (chip) มาใช้แทนฟิล์มถ่ายภาพและได้ภาพประเภทดิจิตอล (Digital) ที่สามารถโหลด (load) เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์ (print) หรือนำไปใช้กับงานสื่อประสม (Multimedia) อื่นๆ ได้

การเลือกซื้อกล้องและอุปกรณ์
1. ซื้อกล้องดิจิตอลอะไรดี
การเลือกซื้อกล้อง ก่อนอื่นต้องดูงบประมาณที่คุณมีก่อน เป็นอันดับแรก จากนั้นให้ดูรูปแบบสำคัญที่สุด ที่คุณอยากได้ เช่น พกพาสะดวก หรือ เอาซูมได้เยอะๆ หรือเอาพิกเซลมากๆ ให้ตั้งเงื่อนไขสำคัญไว้เพียง 1-2 ข้อเท่านั้น จากนั้นให้เลือกตามเงื่อนไขสำคัญนั้นเป็นหลัก อย่าสับสนกับลูกเล่นกระจุกกระจิกบางอย่าง ที่คุณอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้ และจะทำให้พลาดประเด็นสำคัญไป หรือสับสนจนเลือกไม่ถูก
2. ซื้อกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค หรือ DSLR ดีกว่ากัน
ถ้าสิ่งต่อไปนี้ คือสิ่งสำคัญที่คุณต้องการในอันดับต้นๆ คือ คุณภาพของภาพ ต้องการฝึกหัดการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ต้องการกล้องที่ควบคุมได้ดังใจ และทันใจ พร้อมถ่ายได้ทันที ตอบสนองการถ่ายภาพแบบปุ๊บปั๊บได้ หรือต้องการกล้องที่ทนทานใช้งานได้นาน ไม่ได้ต้องการกล้องที่พกติดตัวตลอด 24 ชม. ถ้าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณต้องการ DSLR คือคำตอบสุดท้ายของคุณ
3. ถ้ากล้อง DSLR ดีกว่ากล้องคอมแพ็ค ทำไมคนถึงยังซื้อกล้องคอมแพ็คกัน
เพราะข้อดีของกล้องคอมแพ็ค คือ พกพาง่าย ใช้งานง่าย ราคา(โดยส่วนใหญ่)่ ไม่สูงนัก และบางคนไม่ได้ต้องการคุณภาพอะไรมาก ขอแค่กล้องที่ถ่ายบันทึกเรื่องราว ในชีวิตประจำวัน หรือตอนไปท่องเที่ยวเท่านั้น กล้องคอมแพ็คคือคำตอบสุดท้ายสำหรับเขาเหล่านั้น
4. ทำไมถึงว่ากล้องคอมแพ็ค คุณภาพของภาพสู้กล้อง DSLR ไม่ได้
จุดสำคัญที่ทำให้กล้อง DSLR ดีกว่ากล้องคอมแพ็คในแง่คุณภาพ คือ ขนาดของตัวรับภาพของกล้อง DSLR มีขนาดใหญ่กว่ากล้องคอมแพ็คมากๆ เมื่อตัวรับภาพมีขนาดใหญ่ จึงทำให้สามารถบันทึกภาพได้ดีกว่า โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง noise หรือจุดรบกวนในภาพจากกล้อง DSLR จะมีน้อยกว่าภาพจากกล้องคอมแพ็คมาก หรือ การเก็บรายละเอียด การไล่น้ำหนักของสีสันในภาพ จะทำได้ดีกว่ากล้องคอมแพ็ค
5. ประกันศูนย์ กับ ประกันร้าน ต่างกันอย่างไร
ประกันศูนย์ คือประกันที่ ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นผู้ให้การรับประกันกล้องหรืออุปกรณ์นั้นๆ ส่วนประกันร้าน คือ ร้านค้าปลีกที่ขายกล้องให้คุณ เป็นคนให้การรับประกันเอง จะมีบางร้านบอกว่า เสียซ่อมศูนย์ อันนั้นก็อย่าสับสนว่าเป็นประกันศูนย์ ยังคงเป็นประกันร้านอยู่ เพราะเฮียเจ้าของร้านเป็นคนบอกว่าจะซ่อม หรือไม่ซ่อมกล้องของคุณ ไม่ใช่ช่างที่ศูนย์ ดังนั้นอย่าสับสน
6. ซื้อกล้องจากเมืองนอกหรือเมืองไทยดี
ถ้าเป็นเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว จะบอกว่าให้ไปซื้อที่เมืองนอก แต่มา พ.ศ. นี้ แล้ว กล้องบางยี่ห้อยังผลิตในเมืองไทยเลย แล้วคุณจะไปซื้อจากเมืองนอกกันทำไมให้เมื่อยตุ้ม ภาษีนำเข้ากล้องก็ 0% ศูนย์บริการเมืองไทยก็มี แล้วจะไปซื้อต่างประเทศ ให้เสี่ยงโดยหลอกทำไม โดยเฉพาะเผลอๆจะโดนต้มโดนฟัน ขายกล้องย้อมแมวให้อีก จะบินกลับไปต่อว่าคนขายก็คุยกันคนละภาษา ฟันธงเลยว่าซื้อเมืองไทย สบายใจกว่าเยอะครับ
7. กล้องยี่ห้ออะไรดีที่สุด
ซื้อกล้องยี่ห้อที่คุณชอบ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ ไม่ได้กวน แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนเราต่างจิตต่างใจ ใครชอบยี่ห้ออะไร ซื้อยี่ห้อนั้นครับ แต่ควรดูเรื่องศูนย์บริการ และบริการหลังการขายด้วยครับ
ลองเข้าไปดูรายละเอียดจากเว็บบริษัทครับ Canon | Nikon | Sony | Samsung | FujiFilm | Olympus | Panasonic | Pentax | Kodak | Ricoh | GE |Casio เป็นต้น
8. ซื้อที่ร้านไหนดี
ร้านแต่ละร้านมักจะมีจุดเด่นคนละแบบ บางร้านเน้นบริการดี แต่อาจจะราคาสูงกว่าหน่อย ก็เหมาะกับคนที่ต้องการความสบายใจ บางร้านเน้นราคาถูกอย่างเดียว ก็ดูเรื่องรับประกันด้วยเพื่อความสบายใจในภายหลัง บางร้านก็เน้นอยู่ในห้างใหญ่ บางร้านเน้นขายทาง internet แต่เอาเป็นว่า ถ้าในกรุงเทพ มีแหล่งซื้ออยู่คร่าวๆดังนี้ ย่านหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว, ย่านสามย่านมาบุญครอง, ย่านพลับพลาไชย, ย่านบางรัก, ฟอร์จูนทาว์น, พันธ์ทิพย์
9. ซื้อกล้องกี่ล้านพิกเซลดี
อยู่ที่ว่าเอาภาพไปใช้งานอะไร ถ้าถ่ายทั่วๆไปไว้ดูในครอบครัว อัดขยายแค่ 4x6 นิ้ว(ภาพจัมโบ้ปกติ) หรืออย่างมากก็แค่ขนาด A4 ก็ซื้อแค่ 5-6 ล้านก็เหลือเฟือ ถ้าเอาภาพไปใช้งานสิ่งพิมพ์ หรือขยายใหญ่กว่า A4 ก็ควรใช้ราวๆ 6-8 ล้าน หรือมากกว่านั้น
1. ซื้อกล้องดิจิตอลอะไรดี
การเลือกซื้อกล้อง ก่อนอื่นต้องดูงบประมาณที่คุณมีก่อน เป็นอันดับแรก จากนั้นให้ดูรูปแบบสำคัญที่สุด ที่คุณอยากได้ เช่น พกพาสะดวก หรือ เอาซูมได้เยอะๆ หรือเอาพิกเซลมากๆ ให้ตั้งเงื่อนไขสำคัญไว้เพียง 1-2 ข้อเท่านั้น จากนั้นให้เลือกตามเงื่อนไขสำคัญนั้นเป็นหลัก อย่าสับสนกับลูกเล่นกระจุกกระจิกบางอย่าง ที่คุณอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้ และจะทำให้พลาดประเด็นสำคัญไป หรือสับสนจนเลือกไม่ถูก
2. ซื้อกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค หรือ DSLR ดีกว่ากัน
ถ้าสิ่งต่อไปนี้ คือสิ่งสำคัญที่คุณต้องการในอันดับต้นๆ คือ คุณภาพของภาพ ต้องการฝึกหัดการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ต้องการกล้องที่ควบคุมได้ดังใจ และทันใจ พร้อมถ่ายได้ทันที ตอบสนองการถ่ายภาพแบบปุ๊บปั๊บได้ หรือต้องการกล้องที่ทนทานใช้งานได้นาน ไม่ได้ต้องการกล้องที่พกติดตัวตลอด 24 ชม. ถ้าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณต้องการ DSLR คือคำตอบสุดท้ายของคุณ
3. ถ้ากล้อง DSLR ดีกว่ากล้องคอมแพ็ค ทำไมคนถึงยังซื้อกล้องคอมแพ็คกัน
เพราะข้อดีของกล้องคอมแพ็ค คือ พกพาง่าย ใช้งานง่าย ราคา(โดยส่วนใหญ่)่ ไม่สูงนัก และบางคนไม่ได้ต้องการคุณภาพอะไรมาก ขอแค่กล้องที่ถ่ายบันทึกเรื่องราว ในชีวิตประจำวัน หรือตอนไปท่องเที่ยวเท่านั้น กล้องคอมแพ็คคือคำตอบสุดท้ายสำหรับเขาเหล่านั้น
4. ทำไมถึงว่ากล้องคอมแพ็ค คุณภาพของภาพสู้กล้อง DSLR ไม่ได้
จุดสำคัญที่ทำให้กล้อง DSLR ดีกว่ากล้องคอมแพ็คในแง่คุณภาพ คือ ขนาดของตัวรับภาพของกล้อง DSLR มีขนาดใหญ่กว่ากล้องคอมแพ็คมากๆ เมื่อตัวรับภาพมีขนาดใหญ่ จึงทำให้สามารถบันทึกภาพได้ดีกว่า โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง noise หรือจุดรบกวนในภาพจากกล้อง DSLR จะมีน้อยกว่าภาพจากกล้องคอมแพ็คมาก หรือ การเก็บรายละเอียด การไล่น้ำหนักของสีสันในภาพ จะทำได้ดีกว่ากล้องคอมแพ็ค
5. ประกันศูนย์ กับ ประกันร้าน ต่างกันอย่างไร
ประกันศูนย์ คือประกันที่ ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นผู้ให้การรับประกันกล้องหรืออุปกรณ์นั้นๆ ส่วนประกันร้าน คือ ร้านค้าปลีกที่ขายกล้องให้คุณ เป็นคนให้การรับประกันเอง จะมีบางร้านบอกว่า เสียซ่อมศูนย์ อันนั้นก็อย่าสับสนว่าเป็นประกันศูนย์ ยังคงเป็นประกันร้านอยู่ เพราะเฮียเจ้าของร้านเป็นคนบอกว่าจะซ่อม หรือไม่ซ่อมกล้องของคุณ ไม่ใช่ช่างที่ศูนย์ ดังนั้นอย่าสับสน
6. ซื้อกล้องจากเมืองนอกหรือเมืองไทยดี
ถ้าเป็นเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว จะบอกว่าให้ไปซื้อที่เมืองนอก แต่มา พ.ศ. นี้ แล้ว กล้องบางยี่ห้อยังผลิตในเมืองไทยเลย แล้วคุณจะไปซื้อจากเมืองนอกกันทำไมให้เมื่อยตุ้ม ภาษีนำเข้ากล้องก็ 0% ศูนย์บริการเมืองไทยก็มี แล้วจะไปซื้อต่างประเทศ ให้เสี่ยงโดยหลอกทำไม โดยเฉพาะเผลอๆจะโดนต้มโดนฟัน ขายกล้องย้อมแมวให้อีก จะบินกลับไปต่อว่าคนขายก็คุยกันคนละภาษา ฟันธงเลยว่าซื้อเมืองไทย สบายใจกว่าเยอะครับ
7. กล้องยี่ห้ออะไรดีที่สุด
ซื้อกล้องยี่ห้อที่คุณชอบ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ ไม่ได้กวน แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนเราต่างจิตต่างใจ ใครชอบยี่ห้ออะไร ซื้อยี่ห้อนั้นครับ แต่ควรดูเรื่องศูนย์บริการ และบริการหลังการขายด้วยครับ
ลองเข้าไปดูรายละเอียดจากเว็บบริษัทครับ Canon | Nikon | Sony | Samsung | FujiFilm | Olympus | Panasonic | Pentax | Kodak | Ricoh | GE |Casio เป็นต้น
8. ซื้อที่ร้านไหนดี
ร้านแต่ละร้านมักจะมีจุดเด่นคนละแบบ บางร้านเน้นบริการดี แต่อาจจะราคาสูงกว่าหน่อย ก็เหมาะกับคนที่ต้องการความสบายใจ บางร้านเน้นราคาถูกอย่างเดียว ก็ดูเรื่องรับประกันด้วยเพื่อความสบายใจในภายหลัง บางร้านก็เน้นอยู่ในห้างใหญ่ บางร้านเน้นขายทาง internet แต่เอาเป็นว่า ถ้าในกรุงเทพ มีแหล่งซื้ออยู่คร่าวๆดังนี้ ย่านหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว, ย่านสามย่านมาบุญครอง, ย่านพลับพลาไชย, ย่านบางรัก, ฟอร์จูนทาว์น, พันธ์ทิพย์
9. ซื้อกล้องกี่ล้านพิกเซลดี
อยู่ที่ว่าเอาภาพไปใช้งานอะไร ถ้าถ่ายทั่วๆไปไว้ดูในครอบครัว อัดขยายแค่ 4x6 นิ้ว(ภาพจัมโบ้ปกติ) หรืออย่างมากก็แค่ขนาด A4 ก็ซื้อแค่ 5-6 ล้านก็เหลือเฟือ ถ้าเอาภาพไปใช้งานสิ่งพิมพ์ หรือขยายใหญ่กว่า A4 ก็ควรใช้ราวๆ 6-8 ล้าน หรือมากกว่านั้น
10. จะหาคู่มือภาษาไทยได้ที่ไหน
ลองสอบถามจากทางตัวแทนจำหน่ายดูครับ เดี๋ยวนี้เขาค่อนข้างใจดี อาจจะหยิบยืมถ่ายเอกสารได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น