Memory (หน่วยความจำ)
เป็นอุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ ที่ใช้เก็บคำสั่ง และข้อมูลที่ไมโครเซสเซอร์ สามารถเข้าถึงได้เร็ว เมื่อคอมพิวเตอร์ อยู่ในการทำงานปกติ หน่วยความจำจะเก็บส่วนใหญ่ของระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมประยุกต์บางส่วนหรือทั้งหมด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน หน่วยความจำมักจะใช้ ในความหมายเดียวกับหน่วยความจำชั่วคราว หน่วยความจำชนิดนี้ ตั้งอยู่บนไมโครซิปหนึ่ง หรือมากกว่า ใกล้กับไมโครโพรเซสเซอร์ในคอมพิวเตอร์ การมีขนาด RAM ยิ่งมากจะช่วยลดความถี่ของคอมพิวเตอร์ ในการเข้าถึงคำสั่ง และข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เวลามาก บางครั้งหน่วยความจำได้รับการแยก จากการเป็นที่เก็บ หรือตัวกลางทางกายภาคที่ใช้เก็บข้อมูล จำนวนมากที่มากกว่า RAM และอาจจะไม่ต้องการในเวลานั้น อุปกรณ์การเก็บรวมถึงฮาร์ดดิสก์, ฟล๊อปปี้ดิสก์, CD-ROM และระบบเทปสำรองข้อมูล คำว่า auxiliary storage, auxiliary memory และ secondary memory ใช้สำหรับที่เก็บข้อมูลประเภทนี้
หน่วยความจำอีกชนิดที่เข้าถึงได้เร็ว คือ read-only-memory (ROM), programmable ROM และ erasable programmable ROM หน่วยความจำเหล่านี้ใช้เก็บโปรแกรมพิเศษและข้อมูล เช่น basic input/output system (BIOS) ซึ่งคอมพิวเตอร์ต้องการตลอดเวลา
ประเภทของ memory card ต่างๆ 1.PCMCIA Card หรือ PC Card เป็นจุดกำเนิดของ การ์ด โดยถูกพัฒนาขึ้นมาจากอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ในยุคปลายทศวรรษที่ 80 จุดประสงค์คือต้องการให้คอมพิวเตอร์แลปท๊อปสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้ มีด้วยกัน 3 แบบคือ
1.PCMCIA Type I บางสุด
2. PCMCIA Type II แบบกลางๆ
3. PCMCIA Type III ใหญ่สุด
1.PCMCIA Type I บางสุด
2. PCMCIA Type II แบบกลางๆ
3. PCMCIA Type III ใหญ่สุด

2. Compact Flash Card
เป็นการพัฒนาจาก PCMCIA Card ให้มีขนาดลดลงครึ่งหนึ่ง เพื่อให้สั้นลง และยังคงความสามารถในการจุความจำข้อมูล โดยในปี 1994 Kodak , Cannon , Polaroid ได้ร่วมกับ Sandisk เพื่อการพัฒนาหน่วยความจำแบบนี้ขึ้นมาซึ่งมีชื่อเรียกว่า Compact Flash หรือ CF Card โดยต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในด้านการถ่ายภาพ เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่ถูกนำมาพัฒนาเป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ต่อกับคอมพิวเตอร์อย่าง Pocket PC หน่วยความจำสูงสุดในตอนนี้คือ 4GB ปัจจุบันใช้ในกล้องดิจิตอลลดลง แต่กลับไปเพิ่มที่ เครื่องเล่น mp3 อย่าง ipod Mini ของ apple เป็นต้น
3. SmartMedia Card
เป็นการพัฒนาโดยการกำหนดมาตรโดย Olympus และ Fujifilm โดยใช้ในการเก็บข้อมูลของภาพดิจิตอลของ ทั้งสองบริษัทนี้ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ โดยจุดที่ได้เปรียบของการ์ดรุ่นนี้คือ บางกว่า CF Card โดยทั้งสองประเภทถูกพัฒนาพร้อมๆกัน แต่ก็มีข้อเสีย ก็มีอยู่คือ การ์ดชนิดนี้จะเก็บได้แต่ข้อมูลอย่างเดียว ไม่มีความจำที่จะควบคุมการ์ด โดยส่วนควบคุมจะติดอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมเท่านั้น การ์ดตัวนี้ไม่ค่อยจะแพร่หลายนัก เพราะเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Olympus และ Fujifilm เท่านั้น ในปัจจุบันเลิกผลิตการ์ดนี้ไปแล้ว

4. MMC [MultimediaCard] และ RS-MMC [Reduced – size MMC]
เริ่มต้นในปี 1997 โดย Sandisk ร่วมกับ Nokia และ Ericsson ได้ทำการพัฒนาหน่วยความจำแบบใหม่นี้มาใช้กับโทรศัพท์มือถือ จุดเด่นของการ์ดนี้คือ บางเพียง 1.4 mm. ซึ่งถือว่าบางที่สุดในขณะนั้น เหมาะสำหรับนำไปใช้อุปกรณ์ อย่างกล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ Pocket PC โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาความจุไปถึง 4 GB ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่า RS-MMC เพื่อใช้กับมือถือเป็นหลัก ซึ่งได้แก่รุ่นต่างๆ เช่น 7610 เป็นต้น
DVRS-MMC = มีขนาดเท่ากับ RS-MMC ระบบ dual volt (แรงดันไฟ 2 ระดับ) ใช้กับมือถือรุ่น 6630, 6670, 6680, 6681และใช้กับมือถือที่ใช้ MMC และ RS-MMC

5.SD Card [ SecureDisk Card ] และ Mini SD
การ์ดชนิดเริ่มขึ้นหลังจาก MMC อยู่ในตลาดได้ไม่นาน โดยที่ Toshiba และ Panasonic เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน และได้ร่วมพัฒนาไปกับ Sandisk รูปร่างของ SD และ MMC จะมีความกว้างและความยาวเท่ากัน และ SD จะหนากว่า MMC โดยหนาประมาณ 2.1 mm. ซึ่งความหนานี้มีส่วนช่วยให้ความจุของการ์ดชนิดนี้มีมากขึ้น รวมถึงเรื่องขั้ว Connecter ของการ์ดจะมีความต่างจาก MMC อยู่ 2 ขา กล่าวคือใน MMC จะมีขาทั้งหมด 7 ขา ส่วนใน SD จะมี 9 ขา ซึ่งจุดนี่เองที่ทำให้ SD เป็นที่นิยมต่อจาก MMC เพราะสามารถโอนข้อมูลได้รวดเร็วกว่า MMC ถึง 2 เท่า กล่าวคือ ใน MMC ความเร็วในการโอนข้อมูลจะอยู่ที่ประมาณ 1Mbps ส่วนใน SD จะมีความเร็วของโอนข้อมูลอยู่ประมาณ 2 Mbps ส่วนฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาใน SD คือ การป้องกันเขียนซ้ำได้ โดยจะมีตัวเลื่อนล็อคในด้านข้างของ SD แต่ MMC ก็ใช่ว่าจะเสียเปรียบทุกอย่าง มีข้อดีเหมือนกันตรงที่ว่า พื้นที่ในการเก็บทุก 64 MB จะมีการสูญเสียพื้นที่ประมาณ 0.5 MB ส่วนของ SD จะมีการสูญเสียในการเก็บ 64 MB อยู่ประมาณ 1.5 MB ซึ่งห่างกันมาก ส่วนความจุของ SD ก็มีตั้งแต่ 32 MB ไปจนถึง 6 GB แล้วในปัจจุบัน

6.Memory Stick – Memory Stick Pro – Memory Stick Duo – Memory Stick Pro Duo
Memory Stick เป็นการพัฒนาจาก Sony ซึ่งนำมาเก็บข้อมูลต่างๆ จากอุปกรณ์ของ Sony เอง เช่น กล้องถ่ายและบันทึกภาพ เครื่องบันทึกเสียง โทรศัพท์เคลื่อนที่ Palm และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น ข้อเด่นของ การ์ดแบบนี้คือ กินกระแสไฟต่ำ การเขียนและอ่านรวดเร็ว โดยขนาดของความจุจะขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่น เช่น memory Stick จะมีความจุ 256 MB และ memory Stick Duo จะมีความจุ 2 GB memory Stick Duo ถูกพัฒนาเพื่อให้ใช้ในเครื่องมือถือและกล้องดิจิตอลโดยเฉพาะ ที่ต้องอาศัยขนาดการ์ดที่เล็กมีความจุสูงสุดอยู่ที่ 256 MB และ Memory Stick Pro Duo จะมีขนาดเท่ากับ Memory Stick Duo แต่มีความจุมากกว่า ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ 1 GB โดยที่จะมี Adapter ช่วยแปลงมาเป็น Memory Stick ได้อีกด้วย โดยปัจจุบันการ์ดรุ่นนี้จะใช้ใน มือถือของโซนี่อีริกสันหลายรุ่น เช่น P910i P900 K750i S700i เป็นต้น ซึ่งการ์ดนี้จะเป็นการ์ดที่มีราคาค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับการ์ดด้านบน


7. TransFlash Card
เป็นการพัฒนาโดยความร่วมมือของ Motorola และ Sandisk โดยได้มีการพัฒนาให้เป็นการ์ดที่ใช้ในโทรศัพท์แท้จริง เมื่อมันมีรูปร่างเพียง 11 x 15 mm. หนาเพียง 1mm. โดยมีการกินไฟที่ต่ำมาก แต่มีความจุถึง 1GB โดยปัจจุบัน Motorola ได้นำมาใช้กับมือถือของค่ายเค้า ในการเก็บข้อมูลทั้งโปรแกรมและสิ่งบันเทิงต่างๆ และนอกจากนี้การ์ดประเภทนี้สามารถใช้ adapter แปลงให้มาเป็น SD Card ได้อีกด้วย
เป็นการพัฒนาโดยความร่วมมือของ Motorola และ Sandisk โดยได้มีการพัฒนาให้เป็นการ์ดที่ใช้ในโทรศัพท์แท้จริง เมื่อมันมีรูปร่างเพียง 11 x 15 mm. หนาเพียง 1mm. โดยมีการกินไฟที่ต่ำมาก แต่มีความจุถึง 1GB โดยปัจจุบัน Motorola ได้นำมาใช้กับมือถือของค่ายเค้า ในการเก็บข้อมูลทั้งโปรแกรมและสิ่งบันเทิงต่างๆ และนอกจากนี้การ์ดประเภทนี้สามารถใช้ adapter แปลงให้มาเป็น SD Card ได้อีกด้วย
8. MMC micro
เป็นการพัฒนามาจาก MMC และ RS-MMC มีขนาดเป็น 1 ใน 3 ของ RS-MMC มีรูปร่าง 12 x 14 x 1.1 mm. ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 10 MB ต่อวินาที และเขียน 7 MB ต่อวินาที ซึ่งนับว่าเร็วมาก สามารถลบและเขียนซ้ำลงไปได้ประมาณ 100,000 ครั้ง ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับมือถือติดกล้อง Megapixelโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ Samsung มีความจำขนาด 32MB 64MB และ 128MB มีกำหนดออกวางจำหน่ายต้นปี 2006 คับ

9. SD-USB memory card
เป็นการพัฒนาของ Sandisk เพื่อจุดประสงค์ในการเสียบต่อความจำภายนอกโดยไม่ต้องผ่านอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น การ์ดรีดเดอร์ อุปกรณ์ flash ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมีความเร็วในการอ่านและเขียนเร็วกว่า RS-MMC คือจะมีการอ่านที่ 8.04 MB/s และการเขียนที่ 6.83MB/s มีขนาดเท่า RS-MMC ทั้งขนาดและรูปร่าง แต่จะมีส่วนที่กลายเป็นช่องเสียบในที่เสียบ USB ของคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค และอีกด้านหนึ่งเป็นที่เสียบเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้เก็บหน่วยความจำ การใช้งานคล้าย handy drive แต่มันใช้ได้มากอุปกรณ์กว่า
เป็นการพัฒนาของ Sandisk เพื่อจุดประสงค์ในการเสียบต่อความจำภายนอกโดยไม่ต้องผ่านอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น การ์ดรีดเดอร์ อุปกรณ์ flash ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมีความเร็วในการอ่านและเขียนเร็วกว่า RS-MMC คือจะมีการอ่านที่ 8.04 MB/s และการเขียนที่ 6.83MB/s มีขนาดเท่า RS-MMC ทั้งขนาดและรูปร่าง แต่จะมีส่วนที่กลายเป็นช่องเสียบในที่เสียบ USB ของคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ค และอีกด้านหนึ่งเป็นที่เสียบเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้เก็บหน่วยความจำ การใช้งานคล้าย handy drive แต่มันใช้ได้มากอุปกรณ์กว่า
การเลือกซื้อเมมโมรี่การ์ด (Memory Card)
ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบรูปแบบเมมโมรีjการ์ด (Memory Card) ที่คุณใช้
- ดูที่คู่มือของกล้อง , โทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์ที่คุณใช้อยู่ว่ารองรับการใช้เมมเมรี่การ์ด (Memory Card) แบบไหน ถ้าคู่มือเป็นภาษาอังกฤษให้ดูตรงที่มีข้อความอย่าง เช่น “memory card compatability” or “storage ส่วนใหญ่จะมีอยู่ในหน้าสรุปรายละเอียด หรือ สเปกสินค้า (Product Details , Product Specification)
- ถ้าคุณไม่สามารถหาคู่มือให้ดูที่ฝาช่องเสียบการ์ดหน่วยความจำ จะมีเครื่องหมายบอกอย่างเช่น
- CF (Compact Flash)
- SD (Secure Digital)
- xD (Extreme Digital)
- MS (Memory Stick)
- MMC (MultiMediaCard)
- SM (Smart Media)
ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบความจุ (Capacity)
- ความจุเยอะก็จะเก็บข้อมูล รูป หรือ เพลงได้เยอะ และความจุยิ่งเยอะ การ์ดก็จะมีราคาแพงสูงขึ้นตามไปด้วย
- อุปกรณ์บางอย่างรองรับความจุที่จำกัด เช่น กล้องรุ่นเก่าอาจรองรับความจุสูงสุดได้แค่ที่ 2 GB
ขั้นตอนที่ 3 : ความเร็วของการ์ด (Speed)
ที่ตัวการ์ดจะมีเครื่องหมายอย่าง เช่น 4X , 12X อยู่นั้นหมายถึงความเร็วในการเขียนต่อวินาที เครื่องหมาย X มีความหมายคือ .. ร้อยกว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (kb/s)
เช่น 1x คือความเร็วในการเขียน 150 กิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s)
4x คือ 400 กว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s)
สำหรับผู้ใช้กล้องดิจิตอลหรือวีดีโอ
ความเร็วมีผล อย่างเช่น
ผู้ใช้กล้องแบบมืออาชีพ (กล้องโปร หรือ DSLR)
ภาพจะมีความละเอียดสูงเวลาจัดเก็บภาพจะใช้เวลานานกว่าปกติ ความเร็วย่นเวลาในการจัดเก็บภาพหลังถ่ายเสร็จ
การถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนไหว อย่าง เช่น กีฬา ทำให้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้เร็วขึ้น
การถ่ายวีดีโอ ความเร็วจะช่วยทำให้การถ่ายภาพสมูธขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น